วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

ดนตรีไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ประเทศกัมพูชา)

ความแตกต่างและความคล้ายคลึงของดนตรีในประเทศกัมพูชา

จากประเทศข้างต้นที่ได้กล่าวมาแล้ว ประเทศที่มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมดนตรีในประเทศไทยเป็นอย่างมากอีกประเทศหนึ่งนั้น ก็คือประเทศกัมพูชานั้นเอง ประเทศกัมพูชานั้นเราคงจะรู้จักกันดีในนามของ “ขอม”  คำว่า ขอม ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือจามะเทวีวงศ์ จะไม่ได้หมายถึงคำว่า “เขมร”  แต่คงหมายถึงมอญแห่งอาณาจักรทวาราวดีนั้นเอง เพราะในพงสาวดารโยนก ว่าชาติไทยได้เคยสู้รบกับพวกขอมหรือบางแห่งก็เรียกขอมดำ ประกอบทั้งเขมรเองก็ไม่ได้เรียกตนว่าขอม หากในระยะต่อมา “เขมร” มาตีได้อาณาจักรทวาราวดีในลุ่มน้ำเจ้าพระยา คำว่าขอมและเขมร จึงปนกัน แล้วเข้าใจต่อมาว่าเป็นชื่อของชาติเดียวกัน เพราะเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์แห่งอาณาจักรทวาราวดีของมอญ เหลื่อมล้ำต่อเนื่องกันพอดีกับของเขมร และทั้งมอญและเขมรก็ได้เป็นชนชาติอยู่ในตระกูลภาษาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอาณาจักรทวารวดีนั้น ในปัจจุบันก็มีอาณาเขตอยู่ในประเทศไทย ด้วยความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์นี้ ก็สันฐานให้เห็นได้ถึงการถ่ายเทของวัฒนธรรมมาตั้งแต่ในสมัยอดีต การดนตรีในแทบภูมิภาคของประเทศไทยซึ่งอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรทวาราวดีในอดีตซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเขมร ดนตรีจึงมีความคล้ายคลึงกับของเขมรและมีความแตกต่างกันไปตามวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของแต่ละชาติ


      จากความคล้ายคลึงของวัฒนธรรมดนตรีในประเทศเขมรนั้น มีความคล้ายคลึงกับดนตรีในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

จากที่ได้เห็นความคล้ายของวงเครื่องสายกัมพูชากับวงเครื่องสายไทย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการถ่ายทอดวัฒนธรรมทางด้านดนตรี นั้นมีความคล้ายคลึงกันมากกับประเทศไทย ในช่วง พุทธศักราช  2472- 2473 ท่านครู หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ศร ศิลปะบรรเลง ) ตามเสด็จประพาส  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะเดียวกันทางด้านเจ้าเมืองเขมรทรงให้ท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะช่วยไปปรับวงให้วงดนตรีของเขมรนั้น มีความแข็งแรงขึ้น ในขณะเดียวกัน การปรับวงก็ได้มีการนำเพลงไทยไปถ่ายทอดให้กับชาวเขมร จึงส่งผลทำให้การบรรเลงดนตรีของชาวเขมรคล้ายคลึงกับการบรรเลงดนตรีของชาวไทยนั้นมีความคล้ายคลึงกันทั้งรูปลักษณ์ของเครื่องดนตรีและรูปแบบการบรรเลงที่คล้ายกัน แต่ก็ไม่เหมือนเลยซะทีเดียว


              ลักษณะความคล้ายคลึงของเครื่องดนตรีไทยกับเครื่องดนตรีเขมรนั้นไม่ค่อยจะแตกต่างกันซะเท่าไหล่ดังที่จะยกตัวอย่างดังต่อไปนี้
ปี่ใน ของชาวเขมร ( สรอไฬธม )  กับปี่ในของชาวไทยนั้นรูปร่างลักษณะนั้นมีความคล้ายคลึงกันอย่างมากทั้ระดับความยาวของเลาปี่ และความกว้างของเลาปี่ รวมทั้งจำนวนรูปิดนิ้ว บังคับเสียงก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากรวมถึงอุปกรณ์ให้กำเนิดเสียงคือลิ้นปี่ก็ใช้วัสดุเหมือนกัน แต่ที่จะแตกต่างจากปี่ในของไทยก็คือรูปแบบลักษณะของการบรรเลง
ที่บอกว่ามีความแตกต่างในลักษณะของการบรรเลงนั้นคือการเป่าไปในทางดำเนินทำนองหลัก แต่ปี่ของไทยเรานั้นจะไม่เป่าดำเนินทำนองหลัก แต่จะมีทำนองเป็นเอกลักษณ์ประจำของตัวเองหรือตามหลักศัพท์สังคีตของไทยที่นักดนตรีไทยรู้จักในคำว่าทางเก็บ แต่ที่ยังคงมี่ความคล้ายคลึงกันก็คือ การเป่าโหย ( คือการเป่าลากเสียงนั้นยาว ) และการพรมนิ้ว ( คือการเป่าโดยใช้นิ้วขยับเพื่อบังคับเสียงให้เป็นเสียงสั่นโดยเร็วแต่ไม่ถึงกับเร็วมาก) จากที่ได้อธิบายให้เห็นจะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก

กรอเปอ หรือ จระเข้ ประเทศไทยบ้านเรา


 ลักษณะของ กรอเปอ กับ จระเข้ ไทยนั้นมีความคล้ายคลึงกันแต่ที่จะแตกต่างกันก็คือขนาดและสัดส่วนของกรอเปอนั้นจะใหญ่กว่าจระเข้ของไทยด้านปลายจะเชิดแหลมส่วนจระเข้ของไทยเรานั้นด้านปลายจะไม่เชิดแหลม และอีกส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คือ นม นมของกรอเปอนั้นมี่จำนวน 12 นม ส่วนนมของจระเข้ไทยนั้นมี11นม ส่วนในเรื่องของการบรรเลงนั้นเหมือนกันแต่การดีดนั้นจะไม่เหมือนของไทยตรงการนำไม้ดีดเข้าดีดออก
จากที่เห็นข้างต้นที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและประเพณีระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชานั้นมีความคล้ายคลึงกันมากรวมถึงศาสนา ที่เคารพนับถือนั้นก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกความคล้ายคลึงและความสัมพันธ์อีกด้วย

1 ความคิดเห็น: