วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

ดนตรีไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ประเทศมาเลเซีย)

ความแตกต่างและความคล้ายคลึงของดนตรีในประเทศมาเลเซีย

เป็นประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยพื้นที่ 2 ส่วนโดยมีทะเลจีนใต้ กั้น ส่วนแรกคือมาเลเซียตะวันตก อยู่ทางตอนใต้ขอคาบสมุทรมาลายูและคาบสมุทรอินโดจีน มีพรมแดนติดประเทศไทยทางรัฐกลันตัน เประ ปะลิส และเกดะห์ และติดกับสิงคโปร์ทางรัฐยะโฮร์ ส่วนที่ 2 คือ มาเลเซียตะวันออก อยู่ทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว มีพรมแดนทิศใต้ติดอินโดนีเซียทุกส่วนของมาเลเซียตะวันตก แต่ล้อมรอบประเทศบรูไนดารุสซาลามด้วยรัฐซาราวักเพียงรัฐเดีชื่อของประเทศมาเลเซียถูกตั้งขึ้นเมือ พ.ศ. 2506 โดยมีความหมายรวมเอาสหพันธรัฐมาลายา สิงค์โปร์ ซาบาห์ ซาราวัก และบรูไนเข้าด้วยกัน คำว่า มาเลเซียนี้เดิมเคยถูกใช้เป็นชื่อเรียกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนที่เป็นหมู่เกาะมาก่อน ซึ่งปรากฏหลังฐานจากแผนที่ที่ตีพิมพ์ในชิคาโกเมื่อปีพ.ศ. 2457 ในการตั้งชื่อประเทศมาเลเซียนั้นมีการนำเสนอชื่ออื่นๆ มากมายก่อนที่จะได้ผลสรุปให้ใช้ชื่อมาเลเซีย มาเลเซียเป็นสมาชิกก่อตั้งของกลุ่มประเทศอาเซียน
ปรากฏความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นระหว่างหลายชนเผ่าพันธุ์และหลายวัฒนธรรมของประเทศ นอกจากชาวมาเลย์และกลุ่มชนพื้นเมืองแล้ว ยังมีผู้อพยพมาจากจีน อินเดีย อินโดนีเซียและส่วนอื่นของโลก ซึ่งรวมเข้าเป็นพลเมืองของมาเลเซีย มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างน่าสนใจ อาจเนื่องมาจากการติดต่อสัมพันธ์นานปี กับภายนอกและการปกครองโดย ชาวโปรตุเกส ดัตช์ และ อังกฤษ ผลที่เกิดตามมาคือการวิวัฒน์ของประเทศจนเปลี่ยนรูปของวัฒนธรรมดังจะได้เห็น การผสมผสานได้อย่างวิเศษของ ศาสนา กิจกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีการแต่งกาย ภาษาและอาหาร ประเทศมาเลเซียได้รับเอกราชคืนจากอังกฤษมาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1957เป็นสหพันธ์มาเลเซีย ต่อมาเมื่อรวมรัฐซาบาห์ และ รัฐซาราวัดเข้าด้วยแล้ว ประเทศมาเลเซียจึงได้ถือกำเนิดขึ้น

วงดนตรี มาเลเซียมีวงดนตรีพื้นเมืองสองชนิดได้แก่ วงกาเมลัน และวงโนบัต วงกาเมลันมีต้นกำเนิดมาจากประเทศมาเลเซีย โดยเป็นวงดนตรีแบบดั้งเดิมซึ่่งเล่นดนตรีจังหวะเบาๆ เครื่องดนตรีที่ใช้ได้แก่ ฆ้องและเครื่องสาย ส่วนโนบัตคือวงดนตรีในราชสำนักซึ่งเล่นเพลงทางศาสนาที่เคร่งขรึมมากกว่าโดยเล่นให้แก่ราชสำนักเป็นหลัก เครื่องดนตรีที่ใช้ได้แก่ ปี่เซรูไนและปี่นาฟิริ

เครื่องดนตรีของประเทศมาเลเซียนั้นมีความคล้ายคลึงกับเครื่องดนตรีไทยอยู่หลายชนิดและเครื่องดนตรีที่จะนำเสนอนี้เราได้รับการถ่ายทอดลักษณะของเครื่องดนตรีเป็นอย่างมากเนื่องจากไทยเราได้รับอารยธรรมของประเทศมาเลเซียจึงมีเครื่องดนตรีที่มีคล้ายคลึงกันดังตัวอย่างเครื่องดนตรีดังต่อไปนี้

ปี่เซรูไน ( serunai )เป็นปี่ที่มีความคล้ายคลึงกับปี่ไฉนของประเทศไทยเรามากเนื่องจากเราได้รับวัฒนธรรมจากประเทศทางตอนใต้ของประเทศไทยเชื่อกันว่าปี่ไฉนได้รับแบบอย่างมาจากปี่เซรูไนของชาวมาเลเซีย ลักษณะของการบรรเลงนั้นปี่เซรูไนจะบรรเลงเป็นทำนองมากกว่าปี่ไฉน ส่วนปี่ฉนนั้นจะบรรเลงไปในทางโหยดังที่เห็นในพระราชพิธีหลวงในบทเพลงพญาโศกลอยลม จะบรรเลงไปในลักษณะทางโหยดูไม่มีจังหวะที่ไม่ตายตัว ส่านรูปลักษณะนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ทั้งตัวลำโพงของปี่จนกระทั่งจำนวนรูปิดนิ้วบังคับเสียงของปี่ก็มีจำนวนเท่ากันแต่เรื่องของขนาดปี่ไฉนบ้านเรามีขนาดเล็กกว่า

ส่วนเครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่งที่จะเปรียบเทียบความคล้ายคลึงให้เห็นคือ กีดอมบัก ( gedombak ) เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีลำตัวกลองทำมาจากไม้ส่วนหน้ากลองขึงด้วยหนังเครื่องดนตรีชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับโทนชาตรีของประเทศไทยถ้านำมาวางคู่กันอาจจะแยกแยะไม่ออกเลยก็ได้ว่าอันไหนคือกีดอมบักและอันไหนคือโทนชาตรี เพราะมีความคล้ายคลึงกันมากส่วนในเรื่องของเทคนิคของการบรรเลงนั้นอาจจะแตกต่างกันอยู่บ้าง
จากที่ได้เห็นการเปรียบเทียบความคล้ายคลึงของเครื่องดนตรีสี่ประเทศเพื่อนบ้านมาแล้วมันเป็นการบ่งบอกถึงความคล้ายคลึงความสัมพันธ์ของแต่ละประเทศที่มีความพัวพันกันมาช้านาน เช่น การค้าขาย วัฒนธรรมรวมถึงศาสนาซึ่งอาจมี่ความเชื่อถือเป็นความเกี่ยวพันในการถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านเครื่องดนตรีเหล่านี้

ดนตรีไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ประเทศกัมพูชา)

ความแตกต่างและความคล้ายคลึงของดนตรีในประเทศกัมพูชา

จากประเทศข้างต้นที่ได้กล่าวมาแล้ว ประเทศที่มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมดนตรีในประเทศไทยเป็นอย่างมากอีกประเทศหนึ่งนั้น ก็คือประเทศกัมพูชานั้นเอง ประเทศกัมพูชานั้นเราคงจะรู้จักกันดีในนามของ “ขอม”  คำว่า ขอม ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือจามะเทวีวงศ์ จะไม่ได้หมายถึงคำว่า “เขมร”  แต่คงหมายถึงมอญแห่งอาณาจักรทวาราวดีนั้นเอง เพราะในพงสาวดารโยนก ว่าชาติไทยได้เคยสู้รบกับพวกขอมหรือบางแห่งก็เรียกขอมดำ ประกอบทั้งเขมรเองก็ไม่ได้เรียกตนว่าขอม หากในระยะต่อมา “เขมร” มาตีได้อาณาจักรทวาราวดีในลุ่มน้ำเจ้าพระยา คำว่าขอมและเขมร จึงปนกัน แล้วเข้าใจต่อมาว่าเป็นชื่อของชาติเดียวกัน เพราะเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์แห่งอาณาจักรทวาราวดีของมอญ เหลื่อมล้ำต่อเนื่องกันพอดีกับของเขมร และทั้งมอญและเขมรก็ได้เป็นชนชาติอยู่ในตระกูลภาษาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอาณาจักรทวารวดีนั้น ในปัจจุบันก็มีอาณาเขตอยู่ในประเทศไทย ด้วยความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์นี้ ก็สันฐานให้เห็นได้ถึงการถ่ายเทของวัฒนธรรมมาตั้งแต่ในสมัยอดีต การดนตรีในแทบภูมิภาคของประเทศไทยซึ่งอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรทวาราวดีในอดีตซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเขมร ดนตรีจึงมีความคล้ายคลึงกับของเขมรและมีความแตกต่างกันไปตามวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของแต่ละชาติ


      จากความคล้ายคลึงของวัฒนธรรมดนตรีในประเทศเขมรนั้น มีความคล้ายคลึงกับดนตรีในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

จากที่ได้เห็นความคล้ายของวงเครื่องสายกัมพูชากับวงเครื่องสายไทย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการถ่ายทอดวัฒนธรรมทางด้านดนตรี นั้นมีความคล้ายคลึงกันมากกับประเทศไทย ในช่วง พุทธศักราช  2472- 2473 ท่านครู หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ศร ศิลปะบรรเลง ) ตามเสด็จประพาส  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะเดียวกันทางด้านเจ้าเมืองเขมรทรงให้ท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะช่วยไปปรับวงให้วงดนตรีของเขมรนั้น มีความแข็งแรงขึ้น ในขณะเดียวกัน การปรับวงก็ได้มีการนำเพลงไทยไปถ่ายทอดให้กับชาวเขมร จึงส่งผลทำให้การบรรเลงดนตรีของชาวเขมรคล้ายคลึงกับการบรรเลงดนตรีของชาวไทยนั้นมีความคล้ายคลึงกันทั้งรูปลักษณ์ของเครื่องดนตรีและรูปแบบการบรรเลงที่คล้ายกัน แต่ก็ไม่เหมือนเลยซะทีเดียว


              ลักษณะความคล้ายคลึงของเครื่องดนตรีไทยกับเครื่องดนตรีเขมรนั้นไม่ค่อยจะแตกต่างกันซะเท่าไหล่ดังที่จะยกตัวอย่างดังต่อไปนี้
ปี่ใน ของชาวเขมร ( สรอไฬธม )  กับปี่ในของชาวไทยนั้นรูปร่างลักษณะนั้นมีความคล้ายคลึงกันอย่างมากทั้ระดับความยาวของเลาปี่ และความกว้างของเลาปี่ รวมทั้งจำนวนรูปิดนิ้ว บังคับเสียงก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากรวมถึงอุปกรณ์ให้กำเนิดเสียงคือลิ้นปี่ก็ใช้วัสดุเหมือนกัน แต่ที่จะแตกต่างจากปี่ในของไทยก็คือรูปแบบลักษณะของการบรรเลง
ที่บอกว่ามีความแตกต่างในลักษณะของการบรรเลงนั้นคือการเป่าไปในทางดำเนินทำนองหลัก แต่ปี่ของไทยเรานั้นจะไม่เป่าดำเนินทำนองหลัก แต่จะมีทำนองเป็นเอกลักษณ์ประจำของตัวเองหรือตามหลักศัพท์สังคีตของไทยที่นักดนตรีไทยรู้จักในคำว่าทางเก็บ แต่ที่ยังคงมี่ความคล้ายคลึงกันก็คือ การเป่าโหย ( คือการเป่าลากเสียงนั้นยาว ) และการพรมนิ้ว ( คือการเป่าโดยใช้นิ้วขยับเพื่อบังคับเสียงให้เป็นเสียงสั่นโดยเร็วแต่ไม่ถึงกับเร็วมาก) จากที่ได้อธิบายให้เห็นจะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก

กรอเปอ หรือ จระเข้ ประเทศไทยบ้านเรา


 ลักษณะของ กรอเปอ กับ จระเข้ ไทยนั้นมีความคล้ายคลึงกันแต่ที่จะแตกต่างกันก็คือขนาดและสัดส่วนของกรอเปอนั้นจะใหญ่กว่าจระเข้ของไทยด้านปลายจะเชิดแหลมส่วนจระเข้ของไทยเรานั้นด้านปลายจะไม่เชิดแหลม และอีกส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คือ นม นมของกรอเปอนั้นมี่จำนวน 12 นม ส่วนนมของจระเข้ไทยนั้นมี11นม ส่วนในเรื่องของการบรรเลงนั้นเหมือนกันแต่การดีดนั้นจะไม่เหมือนของไทยตรงการนำไม้ดีดเข้าดีดออก
จากที่เห็นข้างต้นที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและประเพณีระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชานั้นมีความคล้ายคลึงกันมากรวมถึงศาสนา ที่เคารพนับถือนั้นก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกความคล้ายคลึงและความสัมพันธ์อีกด้วย

ดนตรีไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ประเทศลาว)



      ถ้าจะกล่าวถึงวัฒนธรรมของประเทศลาวเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า อาณาจักรล้านช้าง เป็นอาณาจักรของชนชาติลาวซึ่งตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง มีอาณาเขตอยู่ในบริเวณประเทศลาวทั้งหมด ตลอดจนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งการเมืองการปกครอง ด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนพระพุทธศาสนา ที่มีพัฒนาการเคียงคู่มาพร้อมกันอาณาจักรอื่นๆใกล้เคียง ทั้งล้านนา สยาม พม่า และเขมร
                                                  
ดนตรีลาวเดิมในปัจจุบันนั้นมีความคล้ายคลึงกับ ดนตรีไทยของเราเป็นอย่างมากเนื่องจาก ความสัมพันธ์ด้านดนตรีระหว่างราชสำนักสยามและราชสำนักลาวหรือในปัจจุบันที่นักวิชาการด้านดนตรีของลาวเรียกว่าดนตรีลาวเดิมนั้น ปรากฏภาพเป็นรูปธรรมตั้งแต่ครั้งสมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ลาวเป็นเมืองขึ้น ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าสิริบุญสาร ในครั้งนั้นฝ่ายไทยได้นำพระบรมวงศ์และเจ้าอนุวงศ์โอรสของสมเด็จเจ้าสิริบุญสารมาไว้ที่กรุงเทพฯในฐานะตัวประกัน เหตุการณ์ในครั้งนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่บั่นทอนความรู้สึกด้านความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศก็ตาม แต่ในมุมกลับกัน เหตุการณ์ในครั้งนั้นกลับปรากฏภาพอันงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิตรภาพ อันงดงามผ่านมิติด้านการดนตรีและละคร ระหว่างบรมวงศ์ชั้นสูงฝ่ายไทยและลาว ซึ่งกาลต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนามสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเจ้านายฝ่ายลาวพระนามเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งภายหลังได้ครองเมืองเวียงจันทน์
ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ด้านดนตรีและการละครของราชสำนักไทยและลาว คงจะไม่มีในยุคใดที่ปรากฏภาพที่ชัดเจนเท่ายุคของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยของไทย และยุคที่เจ้าอนุวงศ์กลับมาปกครองเวียงจันทน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอนุวงศ์ถือเป็นบุคคลที่ทำให้เกิดภาพที่เคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์ดนตรีตลอดสมัยของพระองค์ โดยเจ้าอนุวงศ์นั้นได้เคยประทับอยู่ในประเทศไทยถึง 16 ปี ขณะที่ทรงประทับอยู่ในราชสำนักไทยนั้น พระองค์ศึกษาวิชาการต่าง ๆ ร่วมกับบรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดินของไทย จากการที่ทรงประทับอยู่เป็นเวลาหลายปีทำให้ทรงได้ศึกษาธรรมเนียมในราชสำนักไทยเป็นอย่างดี นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงมีความสนิทชิดเชื้อกับเชื้อพระวงศ์ไทยหลายพระองค์ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยตั้งแต่ครั้นยังทรงพระเยาว์ และเจริญพระชนม์พรรษามาด้วยกัน
 ดังเป็นที่ทราบกันดีว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงมีพระปรีชาญาณด้านดนตรีเป็นอย่างยิ่ง และสนพระทัยในศิลปะอีกหลายแขนง ดังนั้นแผ่นดินสยามภายใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ การดนตรี นาฏศิลป์ กวีนิพนธ์ มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างเด่นชัด ในรัชสมัยของพระองค์มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตจำนวนมากในราชสำนักที่สำคัญคือ สุนทรภู่ มหากวีเอกยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงศ์ทรงรักและเคารพในรัชกาลที่ 2 ของไทยเป็นอย่างมาก ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ของไทยก็ทรงให้เกียรติต่อเจ้าอนุวงศ์เช่นกัน ดังนั้น ในช่วงที่เจ้าอนุวงศ์กลับไปครองกรุงเวียงจันทน์ในฐานะประเทศราชของไทย ความสัมพันธ์ระหว่างสองแผ่นดินจึงเป็นไปด้วยความราบรื่น   หากพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าความสัมพันธ์อันราบรื่นในภาพแห่งการสมานฉันท์นี้เกิดจากพระราชหฤทัยของพระเจ้าอยู่หัวของไทยและเจ้าเมืองเวียงจันทน์ที่รักในเสียงดนตรี จึงอาศัยดนตรี-ละครเป็นสื่อแห่งสัมพันธภาพที่ดูเป็นธรรมชาติและงดงาม
อีกปัจจัยหนึ่งที่ที่ให้ดนตรีในประเทศใทยกับลาวมีความคลายคลึงกันคือ ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เมื่อเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เป็นกบฏ และได้ทำการปราบปรามจนสามารถจับเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ได้ในปี พ.ศ. 2370 ก็ได้มีการกวาดต้อนครอบครัวชาวเวียงจันทน์และชาวเมืองอื่น ๆ ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง เข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก ดังข้อความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 3 ความว่า
"ครอบครัวเวียงจันทน์ครั้งนั้น โปรดเกล้าให้อยู่เมืองลพบุรี เมืองสระบุรี เมืองสุพรรณบุรี บ้าง เมืองนครชัยศรีบ้าง พวกเมืองนครพนม พระอินทร์อาสาไปเกลี้ยกล่อมก็เอาไว้ที่เมืองพนัสนิคม กับลาวอาสาปากน้ำ ซึ่งไปตั้งอยู่ก่อน"


เหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 3 ดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่าครอบครัวชาวเวียงจันทน์ ชาวบ้านราษฎรฝั่งขวาแม่น้ำโขงได้ถูกกองทัพ ไทยกวาดต้อนมาเป็นเชลยถึง 2 ครั้ง 2 ครา ให้อยู่ในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ ทั้งในภาคกลางบ้าง ภาค อีสานบ้าง ตามรายทางการถูกกวาดต้อนมา ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี แม้แต่ดนตรี ต่าง ๆ ที่เป็นประจำพื้นเมืองของชาวบ้าน ก็คงจะต้องนำติดตัวมาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้ "หมอลำ-หมอแคน" อันเป็นศิลปะการร้องรำของชาวฝั่งขวาแม่น้ำโขง จึงได้ถูกนำติดตัวมารำ-ร้อง และบรรเลง เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ในยามคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตนอย่างแน่นอน ศิลปะ แขนงนี้ จึงได้ถูกนำมาร้องเผยแพร่ในภาคกลาง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้แต่ในเมืองหลวงเองก็ยังมี การละเล่นหมอลำ หมอแคนกันอย่างแพร่หลาย



             เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 3 แล้ว พอมาถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อิทธิพลของการละเล่นหมอลำ หมอแคนยิ่งทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ข้าราชบริพารของ พระมหากษัตริย์หลายท่านก็มีความนิยมในการละเล่นและสนับสนุนเป็นอย่างมาก แม้แต่พระบาท สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชอนุชาในรัชกาลที่ 4 ก็ได้ทรงโปรดการแสดงหมอลำหมอแคน มาก จนถึงกับทรงลำและเป่าแคนได้เป็นอย่างดี ดังปรากฏในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 4 หน้า 315 มีความตอนหนึ่งได้กล่าวถึงสมเด็จพระปิ่นเกล้าว่า



"พระองค์ทรงโปรดแคน ไปเที่ยวทรงตามเมืองพนัสนิคมบ้าง ลาวบ้านลำประทวน เมือง นครชัยศรีบ้าง บ้านศรีทา แขวงเมืองสระบุรีบ้าง พระองค์ฟ้อนและแอ่วได้ชำนิชำนาญ ถ้าไม่ได้เห็น พระองค์ก็สำคัญว่า ลาว"


หมอลำ หมอแคน กลายเป็นมหรสพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาในสมัยนั้น จนมหรสพอื่น ๆ เป็นต้น ว่า ปี่-พาทย์ มโหรี เสภา ปรบไก่ สักวา เพลงเกี่ยวข้าว ฯลฯ ต้องแพ้การละเล่นลำแคน หรือหมอลำ หมอแคนอย่างราบคาบ จนหากินแทบไม่ได้ ครั้นประชาชนชาวกรุงเทพฯ พากันนิยมเล่นแคนหนัก เข้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 เกิดความวิตก ด้วยพระองค์เห็นว่า การละเล่น ลำแคนไม่ควรเอาเป็นพื้นเมืองของไทย จึงได้ทรงประกาศห้ามการเล่นลำแคนขึ้น ซึ่งสมัยนั้นเรียก ว่า การเล่น "แอ่วลาว" บ้าง "ลาวแคน" บ้าง ซึ่งได้แก่การ “ลำ” ที่มีการเป่าแคนประสานเสียง ซึ่งเรียกว่า "หมอลำ" สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่ขับร้องและออกท่ารำประกอบ และ "หมอแคน" คือ ผู้ที่ทำหน้าที่เป่า แคน ประสานเสียงประกอบเป็นทำนองเพลงต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีความไพเราะมากยิ่งขึ้น นักร้องจะ ร้องเพลงได้ไพเราะน่าฟังจะต้องมีดนตรีประกอบการขับร้องฉันใด หมอลำจะขับลำได้อย่างไพเราะ ก็จะต้องมี "หมอแคน" ประกอบการขับลำ การขับลำนั้นจึงจะสมบูรณ์ก็ฉันนั้น ด้วยสาเหตุที่เอง ดนตรีลาวและดนตรีไทยจึงมีความคล้ายคลึงกับดนตรีไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งจะยกตัวอย่างและเปรียบเทียบไว้พอสังเขป ดังนี้

การเปรียบเทียบรูปแบบวงดนตรีในประเทศลาวกับวงดนตรีในไทยเรานั้นวงดนตรีของชาวลาวนั้นจะมีความคล้ายคลึงกับดนตรีไทยเดิมของไทยเรา เพียงแต่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนไปบ้างตามความเจริญของวัฒนธรรมนั้นๆ เป็นการเพิ่มเติมเครื่องดนตรีเข้าไปในวงดนตรีของลาวบาง เช่น แคน ซึ่งเป็นดนตรีพื้นบ้านในถิ่นนั้นอยู่แล้วเข้าไปบ้าง การบรรเลงก็มีความคล้ายคลึงกับดนตรีไทยเราแต่ในเรื่องการขับร้อง ยังมีการนำภาษาของประเทศลาวนั้นซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษาไทยเรามาสอดแทรกในเนื้อเพลงด้วย ในรูปแบบการบรรเลงนั้นก็มีความคล้ายคลึงกันกับดนตรีไทยของเรา จากที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่าดนตรีแบบที่เล่นในประเทศไทยนั้นได้มีการกระจายตัวไปในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใดก็แล้วแต่ที่เป็นตัวแปรและส่งผลให้วัฒนธรรมทางดนตรีมีความคล้ายคลึง และความแตกต่างกันไปตามภูมิประเทศและวิถีชีวิตของผู้คน ก็น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมดนตรีในประเทศไทยของเรา